การร้อยไหม คือการสอดเส้นไหมเข้าไปยังชั้นผิว เพื่อช่วยดึงผิว ยกกระชับผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ในบริเวณที่มีไหม ผิวบริเวณดังกล่าวจึงแน่นกระชับ ดูยกขึ้น ริ้วรอยที่เคยลึกและเหี่ยวย่น ก็ดูเต็มขึ้น กระชับขึ้นได้ครับ โดยการร้อยไหมให้ปลอดภัย ต้องใช้ไหมละลายทางการแพทย์ ที่สลายได้เอง ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างในร่างกาย โดยปัจจุบัน มีวัสดุที่ใช้ผลิตเส้นไหมหลัก ๆ ได้แก่ PDO, PCL และ PLLA ครับ
ไหม PDO ย่อมาจาก Polydioxanone เป็นไหมละลาย (Absorbable suture) ชนิดแรกที่นำมาใช้เย็บแผลและใช้ทางการแพทย์ โดยเริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1980 มักใช้ในการผ่าตัดอวัยวะภายใน สมานแผลอวัยวะภายใน เช่น การผ่าตัดหัวใจ และเป็นไหมชนิดแรกที่นำมาใช้ในวงการเสริมความงามเพื่อยกกระชับแก้มที่หย่อน ปรับรูปหน้าเรียว และใช้เติมเต็มร่องลึก ช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าครับ
คุณสมบัติของไหมละลาย PDO คือ เมื่อนำไหมเข้าสู่ร่างกาย ไหมจะค่อย ๆ ละลายได้เองผ่านการย่อยของเอนไซม์ enzymatic reactions และ hydrolysis โดยจะสลายหมดและนำออกจากร่างกายผ่านระบบขับถ่าย ไม่มีสารตกค้าง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้บริเวณที่ร้อยตึงกระชับขึ้นด้วยครับ
ไหม PDO เป็นไหมเส้นสีน้ำเงิน ขนาด USP0 และ USP2 มีความยืดหยุ่นปานกลาง นิ่ม ไม่เปราะ ในขณะที่ร้อย จะไม่รู้สึกระคายเคือง ไหมละลายหมดประมาณ 6 เดือน และด้วยคุณสมบัติที่สามารถกระตุ้นในเกิดการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวได้ดี จึงอาจเห็นว่าผิวยกกระชับขึ้นกว่าตอนก่อนร้อยได้ถึง 12 เดือนในบางรายครับ
ร้อยไหม PDO ต่างกับไหมชนิดอื่นอย่างไร ?
ตามที่ได้กล่าวข้างต้นว่า ปัจจุบัน วัสดุที่ใช้ผลิตเส้นไหมหลัก ๆ มี 3 ชนิด ได้แก่ ไหม PDO, PCL และ PLLA ซึ่งวัสดุทั้ง 3 ชนิดนี้ ผ่านการรับรองจาก FDA ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศว่ามีความปลอดภัยในการเย็บแผลหรือนำมาใช้ทางการแพทย์ คำถามที่ว่าร้อยไหมแบบไหนดีที่สุด จุดเด่นของวัสดุแต่ละชนิด สามารถสรุปได้ด้งนี้
ไหม PDO (Polydioxanone)
- เป็นไหมเส้นสีน้ำเงิน ขนาด USP0 และ USP2
- เป็นไหมชนิดแรกที่นำมาใช้ในวงการเสริมความงาม
- ยืดหยุ่นปานกลาง นิ่ม ไม่เปราะ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี
- ขณะที่ร้อย จะไม่รู้สึกระคายเคือง ร้อยง่าย บวมน้อย
- คงผลลัพธ์การยกกระชับได้ประมาณ 4-6 เดือน ไหมละลายหมดประมาณ 6 เดือน
- ไหม PDO เป็นไหมที่มีความยืดหยุ่นสูงที่สุด
ไหม PLLA (Poly-L-Lactic Acid)
- เป็นไหมที่พัฒนาต่อมาจากไหม PDO เป็นไหมเส้นสีขาว
- ทนต่อแรงดึงได้ดีที่สุด แต่ไม่ค่อยยืดหยุ่น บาง เปราะ ขาดง่าย
- ไหมจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี แต่ด้วยคุณสมบัติที่เปราะ หักง่าย จากการนำมาใช้จริงพบว่าอยู่ได้ไม่ถึง 1 ปี
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีที่สุด สามารถใช้แทนฟิลเลอร์หรือโบท็อกเพื่อลดริ้วรอย แต่มีความเสี่ยงในการใช้เพราะไม่คงทน ขาดง่าย จึงไม่เป็นที่นิยม
- ไหม PLLA เป็นไหมที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีที่สุด
ไหม PCL (Polycaprolactone)
- เป็นวัสดุเส้นไหมใหม่ล่าสุด เป็นเส้นไหมสีขาว ขนาด USP2 เส้นใหญ่ที่สุด
- จุดเด่นคือมีความยืดหยุ่นสูงที่สุด แข็งทน ไม่เปราะหักง่าย
- ไหมจะละลายหมดใน 12 – 18 เดือน แต่ในบางเคสที่ผิวขาดคอลลาเจนหรืออิลาสตินมากๆ ผิวจะหลุดจากเส้นไหมก่อนที่ไหมละลายหมด อาจเห็นผลได้ไม่นานถึง 18 เดือน
- ไหม PCL เป็นไหมที่อยู่ได้นานที่สุด
ด้วยคุณสมบัติที่อยู่ได้นานของไหม PCL และคุณสมบัติการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ดีของไหม PLLA จึงได้มีการนำ PLLA มาผสมในไหม PCL เพื่อเพิ่มความสามารถในการการสร้างคอลลาเจนให้เส้นไหม PCL ดังนั้น PCL+PLLA จึงเป็นไหมที่ดีที่สุดในขณะนี้ครับ
นอกจากวัสดุในการผลิตเส้นไหมที่แตกต่างกันแล้ว ลักษณะรูปทรงของเส้นไหมก็มีส่วนที่ทำให้ผลของการร้อยไหมแตกต่างกัน โดยประเภทของไหม PDO สามารถแบ่งได้ดังนี้

- PDO mono threads (ไหมเรียบ)
ไหมเรียบ ไหมโมโน หรือเรียกว่า การร้อยไหมคอลลาเจน เป็นไหมเส้นสีน้ำเงิน เส้นตรงยาว เน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน มักใช้ร้อยเพื่อเติมเต็มผิวคล้ายๆ ฟิลเลอร์ ช่วยลดริ้วรอยในบางจุดช่วยให้ชั้นผิวฟูขึ้น ช่วยกระชับผิวได้เล็กน้อย เติมร่องใต้ตา ริ้วรอยหน้าผาก ลดความหย่อนคล้อยที่คอ ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมเพราะต้องร้อยทับกันหลายเส้น มีโอกาสทำให้เกิดพังผืดได้ครับ
ชื่ออื่น ๆ ที่แต่ละคลินิกตั้งขึ้นมาเพื่อใช้เรียกไหมเรียบ เช่น ไหมมิราคุ, ไหมสเต็มเซล, ไหม ruby, ไหมทับทิม ฯลฯ
- PDO cog threads (ไหมเงี่ยง)
ไหมเงี่ยงหรือที่นิยมเรียกว่า การร้อยไหมก้างปลา เป็นไหมละลายเส้นสีน้ำเงินที่มีเงี่ยงยื่นออกมาจากเส้นไหม ลักษณะคล้ายก้างปลา มีคุณสมบัติช่วยเกี่ยวผิวให้ยกกระชับขึ้น ใช้ร้อยเพื่อดึงยกแก้มที่หย่อน ปรับรูปหน้าเรียว เหมาะกับคนที่มีปัญหาแก้มหย่อน แก้มย้อย ไม่กระชับ หลังร้อยไหมจะเห็นว่าแก้มถูกยกขึ้นทันที และกระชับเพิ่มมากขึ้นใน 1 เดือน
ชื่ออื่น ๆ ที่แต่ละคลินิกตั้งขึ้นมาเพื่อใช้เรียกไหมเงี่ยง เช่น ไหมเงี่ยงกุหลาบ,ไหมก้างปลา 8D, ไหม Rose, ไหมฟันฉลาม, ไหมจระเข้, ไหมปิรันย่า, ไหมล็อค,ไหมค็อก ฯลฯ
- PDO screw threads (ไหมเกลียว)
เป็นการใช้ไหม PDO แบบเรียบ 1-2 เส้นพันเป็นเกลียวแบบต่างๆ ก่อนสอดเข้าใต้ผิวหนัง มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของเส้นไหม ใช้ร้อยเพื่อเติมเต็มผิวที่ยุบ เป็นแอ่ง ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนให้เรียบตึงขึ้น ใช้เพิ่มเนื้อ ช่วยปรับรูปหน้า ริ้วรอยบางจุด หรือต้องการยกแก้มบริเวณแก้มส้มครับ
ชื่ออื่น ๆ ที่แต่ละคลินิกตั้งขึ้นมาเพื่อใช้เรียกไหมเกลียว เช่น ไหมสปริง, ไหมทอร์นาโด ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีบริษัทที่พัฒนาไหม PDO ในรูปแบบใหม่ เช่น ไหมมิ้นท์ (Mint lift) ที่มีการขึ้นรูปเงี่ยงแยกออกจากเส้นไหมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้เส้นไหม และไหมโครงตาข่าย (Tesslift soft thread lift) ที่นำวัสดุ PDO รูปทรงคล้ายตาข่ายคลุมรอบเส้นไหม เพื่อเพิ่มแรงดึงและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนรอบทิศทาง ทำให้ไหม PDO สามารถอยู่ได้นานขึ้น ยกกระชับได้ดีมากขึ้น
ร้อยไหม PDO คือ ?
การร้อยไหม คือการสอดเส้นไหมเข้าไปยังชั้นผิว เพื่อช่วยดึงผิว ยกกระชับผิว กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อใหม่ในบริเวณที่มีไหม ผิวบริเวณดังกล่าวจึงแน่นกระชับ ดูยกขึ้น ริ้วรอยที่เคยลึกและเหี่ยวย่น ก็ดูเต็มขึ้น กระชับขึ้นได้ครับ โดยการร้อยไหมให้ปลอดภัย ต้องใช้ไหมละลายทางการแพทย์ ที่สลายได้เอง ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างในร่างกาย โดยปัจจุบัน มีวัสดุที่ใช้ผลิตเส้นไหมหลัก ๆ ได้แก่ PDO, PCL และ PLLA ครับ
ไหม PDO ย่อมาจาก Polydioxanone เป็นไหมละลาย (Absorbable suture) ชนิดแรกที่นำมาใช้เย็บแผลและใช้ทางการแพทย์ โดยเริ่มมีมาตั้งแต่ปี 1980 มักใช้ในการผ่าตัดอวัยวะภายใน สมานแผลอวัยวะภายใน เช่น การผ่าตัดหัวใจ และเป็นไหมชนิดแรกที่นำมาใช้ในวงการเสริมความงามเพื่อยกกระชับแก้มที่หย่อน ปรับรูปหน้าเรียว และใช้เติมเต็มร่องลึก ช่วยลดริ้วรอยบนใบหน้าครับ
คุณสมบัติของไหมละลาย PDO คือ เมื่อนำไหมเข้าสู่ร่างกาย ไหมจะค่อย ๆ ละลายได้เองผ่านการย่อยของเอนไซม์ enzymatic reactions และ hydrolysis โดยจะสลายหมดและนำออกจากร่างกายผ่านระบบขับถ่าย ไม่มีสารตกค้าง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติในการช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้บริเวณที่ร้อยตึงกระชับขึ้นด้วยครับ
ไหม PDO เป็นไหมเส้นสีน้ำเงิน ขนาด USP0 และ USP2 มีความยืดหยุ่นปานกลาง นิ่ม ไม่เปราะ ในขณะที่ร้อย จะไม่รู้สึกระคายเคือง ไหมละลายหมดประมาณ 6 เดือน และด้วยคุณสมบัติที่สามารถกระตุ้นในเกิดการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวได้ดี จึงอาจเห็นว่าผิวยกกระชับขึ้นกว่าตอนก่อนร้อยได้ถึง 12 เดือนในบางรายครับ
ร้อยไหม PDO ต่างกับไหมชนิดอื่นอย่างไร ?
ตามที่ได้กล่าวข้างต้นว่า ปัจจุบัน วัสดุที่ใช้ผลิตเส้นไหมหลัก ๆ มี 3 ชนิด ได้แก่ ไหม PDO, PCL และ PLLA ซึ่งวัสดุทั้ง 3 ชนิดนี้ ผ่านการรับรองจาก FDA ทั้งในเมืองไทยและต่างประเทศว่ามีความปลอดภัยในการเย็บแผลหรือนำมาใช้ทางการแพทย์ คำถามที่ว่าร้อยไหมแบบไหนดีที่สุด จุดเด่นของวัสดุแต่ละชนิด สามารถสรุปได้ด้งนี้
ไหม PDO (Polydioxanone)
- เป็นไหมเส้นสีน้ำเงิน ขนาด USP0 และ USP2
- เป็นไหมชนิดแรกที่นำมาใช้ในวงการเสริมความงาม
- ยืดหยุ่นปานกลาง นิ่ม ไม่เปราะ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดี
- ขณะที่ร้อย จะไม่รู้สึกระคายเคือง ร้อยง่าย บวมน้อย
- คงผลลัพธ์การยกกระชับได้ประมาณ 4-6 เดือน ไหมละลายหมดประมาณ 6 เดือน
- ไหม PDO เป็นไหมที่มีความยืดหยุ่นสูงที่สุด
ไหม PLLA (Poly-L-Lactic Acid)
- เป็นไหมที่พัฒนาต่อมาจากไหม PDO เป็นไหมเส้นสีขาว
- ทนต่อแรงดึงได้ดีที่สุด แต่ไม่ค่อยยืดหยุ่น บาง เปราะ ขาดง่าย
- ไหมจะอยู่ได้ประมาณ 1 ปี แต่ด้วยคุณสมบัติที่เปราะ หักง่าย จากการนำมาใช้จริงพบว่าอยู่ได้ไม่ถึง 1 ปี
- กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีที่สุด สามารถใช้แทนฟิลเลอร์หรือโบท็อกเพื่อลดริ้วรอย แต่มีความเสี่ยงในการใช้เพราะไม่คงทน ขาดง่าย จึงไม่เป็นที่นิยม
- ไหม PLLA เป็นไหมที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้ดีที่สุด
ไหม PCL (Polycaprolactone)
- เป็นวัสดุเส้นไหมใหม่ล่าสุด เป็นเส้นไหมสีขาว ขนาด USP2 เส้นใหญ่ที่สุด
- จุดเด่นคือมีความยืดหยุ่นสูงที่สุด แข็งทน ไม่เปราะหักง่าย
- ไหมจะละลายหมดใน 12 – 18 เดือน แต่ในบางเคสที่ผิวขาดคอลลาเจนหรืออิลาสตินมากๆ ผิวจะหลุดจากเส้นไหมก่อนที่ไหมละลายหมด อาจเห็นผลได้ไม่นานถึง 18 เดือน
- ไหม PCL เป็นไหมที่อยู่ได้นานที่สุด
ด้วยคุณสมบัติที่อยู่ได้นานของไหม PCL และคุณสมบัติการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่ดีของไหม PLLA จึงได้มีการนำ PLLA มาผสมในไหม PCL เพื่อเพิ่มความสามารถในการการสร้างคอลลาเจนให้เส้นไหม PCL ดังนั้น PCL+PLLA จึงเป็นไหมที่ดีที่สุดในขณะนี้ครับ
นอกจากวัสดุในการผลิตเส้นไหมที่แตกต่างกันแล้ว ลักษณะรูปทรงของเส้นไหมก็มีส่วนที่ทำให้ผลของการร้อยไหมแตกต่างกัน โดยประเภทของไหม PDO สามารถแบ่งได้ดังนี้
- PDO mono threads (ไหมเรียบ)
ไหมเรียบ ไหมโมโน หรือเรียกว่า การร้อยไหมคอลลาเจน เป็นไหมเส้นสีน้ำเงิน เส้นตรงยาว เน้นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน มักใช้ร้อยเพื่อเติมเต็มผิวคล้ายๆ ฟิลเลอร์ ช่วยลดริ้วรอยในบางจุดช่วยให้ชั้นผิวฟูขึ้น ช่วยกระชับผิวได้เล็กน้อย เติมร่องใต้ตา ริ้วรอยหน้าผาก ลดความหย่อนคล้อยที่คอ ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมเพราะต้องร้อยทับกันหลายเส้น มีโอกาสทำให้เกิดพังผืดได้ครับ
ชื่ออื่น ๆ ที่แต่ละคลินิกตั้งขึ้นมาเพื่อใช้เรียกไหมเรียบ เช่น ไหมมิราคุ, ไหมสเต็มเซล, ไหม ruby, ไหมทับทิม ฯลฯ
- PDO cog threads (ไหมเงี่ยง)
ไหมเงี่ยงหรือที่นิยมเรียกว่า การร้อยไหมก้างปลา เป็นไหมละลายเส้นสีน้ำเงินที่มีเงี่ยงยื่นออกมาจากเส้นไหม ลักษณะคล้ายก้างปลา มีคุณสมบัติช่วยเกี่ยวผิวให้ยกกระชับขึ้น ใช้ร้อยเพื่อดึงยกแก้มที่หย่อน ปรับรูปหน้าเรียว เหมาะกับคนที่มีปัญหาแก้มหย่อน แก้มย้อย ไม่กระชับ หลังร้อยไหมจะเห็นว่าแก้มถูกยกขึ้นทันที และกระชับเพิ่มมากขึ้นใน 1 เดือน
ชื่ออื่น ๆ ที่แต่ละคลินิกตั้งขึ้นมาเพื่อใช้เรียกไหมเงี่ยง เช่น ไหมเงี่ยงกุหลาบ,ไหมก้างปลา 8D, ไหม Rose, ไหมฟันฉลาม, ไหมจระเข้, ไหมปิรันย่า, ไหมล็อค,ไหมค็อก ฯลฯ
- PDO screw threads (ไหมเกลียว)
เป็นการใช้ไหม PDO แบบเรียบ 1-2 เส้นพันเป็นเกลียวแบบต่างๆ ก่อนสอดเข้าใต้ผิวหนัง มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของเส้นไหม ใช้ร้อยเพื่อเติมเต็มผิวที่ยุบ เป็นแอ่ง ช่วยยกกระชับผิวที่หย่อนให้เรียบตึงขึ้น ใช้เพิ่มเนื้อ ช่วยปรับรูปหน้า ริ้วรอยบางจุด หรือต้องการยกแก้มบริเวณแก้มส้มครับ
ชื่ออื่น ๆ ที่แต่ละคลินิกตั้งขึ้นมาเพื่อใช้เรียกไหมเกลียว เช่น ไหมสปริง, ไหมทอร์นาโด ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีบริษัทที่พัฒนาไหม PDO ในรูปแบบใหม่ เช่น ไหมมิ้นท์ (Mint lift) ที่มีการขึ้นรูปเงี่ยงแยกออกจากเส้นไหมเพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้เส้นไหม และไหมโครงตาข่าย (Tesslift soft thread lift) ที่นำวัสดุ PDO รูปทรงคล้ายตาข่ายคลุมรอบเส้นไหม เพื่อเพิ่มแรงดึงและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนรอบทิศทาง ทำให้ไหม PDO สามารถอยู่ได้นานขึ้น ยกกระชับได้ดีมากขึ้น